Sparkling Purple : Eccentricity from the Void
Story : Kittikarn Kunsook
Illust : Kittikarn Kunsook
“เฮ้ ข่าวใหญ่ๆ อาจารย์จากโรงเรียนเวทย์มนต์มาที่นี่จริงๆด้วย!!”
เด็กหนุ่มน้อยผมสีทอง ที่ดูใบหน้าดูน่ารักกว่าเด็กผู้ชายทั่วๆไปวิ่งมาหากลุ่มเพื่อนนับ30คนที่เกาะกลุ่มกันเล่นอยู่ที่สนามเด็กเล่นหลังสถานสงเคราะห์ เด็กเล็กๆบางคนก่อกองทราย บ้างก็วิ่งไล่จับ เด็กที่โตขึ้นมาหน่อยบางคนจับกลุ่มอ่านหนังสือบ้าง บางคนก็เล่นพิเรนถึงขั้นแข่งกันปีนต้นไม้ใหญ่ว่าใครจะขึ้นไปสูงกว่ากัน แต่การที่มีข่าวว่าอาจารย์จากโรงเรียนเวทย์มนต์เดินทางมาที่นี่เป็นอะไรที่น่าตื่นเต้นกว่าการละเล่นที่ตนเองทำทั้งนั้น ทุกคนต่างหยุดกิจกรรมแล้วรีบมารุมล้อมเด็กหนุ่มผมทองผู้คาบข่าวคนนั้น
“จริงเหรอดีน?” “อำกันเล่นรึเปล่า?” “ถ้าเอ็งโกหก โดนจับแก้ผ้านะเว้ย ฮ่าๆ”
“จริงแน่นอน ผมเห็นตราโรงเรียนอาคาเดียอยู่ตรงหน้าอกหลายคนเลย ตอนนี้กำลังคุยกับคุณครูแมเรี่ยนอยู่” ดีน เด็กหนุ่มผมทองยืนยันหนักแน่นกับเพื่อนๆ
สถานสงเคราะห์แห่งนี้รับเด็กที่กำพร้าจากชุมชนต่างๆบนเกาะโพเทนไคม์ 1ใน12เกาะเวทย์มนต์ที่ลอยอยู่บนท้องฟ้า การที่มีตัวแทนจากสถาบันเวทย์มนต์มาที่นี่เท่ากับว่าเด็กกำพร้าเหล่านี้จะได้โอกาสศึกษาต่อในสถาบันเวทย์มนต์...แต่นั้นก็ขึ้นอยู่กับความสามารถของเด็กแต่ละคนด้วยว่าดีพอมั้ย เพราะการเข้าศึกษาในสถาบันต้องมีค่าใช้จ่ายในระดับหนึ่ง ตัวแทนเหล่านั้นทำหน้าที่ค้นหาแล้วหยิบยื่นทุนเล่าเรียนให้กับผู้มีความสามารถให้เข้าไปเรียนในสถาบันสอนเวทย์มนต์อาคาเดียอันโด่งดัง ก่อนที่จะได้แยกย้ายไปศึกษาต่อยังสถาบันอื่นๆตามประเภทความถนัดของตนเอง
“ถ้านายโชว์เวทย์สีม่วงๆของนายให้เค้าดู นายได้ไปเรียนที่อาคาเดียแหงๆเลยเซรอน” สาวน้อยมัดผมแกละสีส้มน้ำตาลแหงนขึ้นไปคุยกับเด็กน้อยคนหนึ่งบนต้นไม้ที่ไม่ลงมา
“ใครจะโชว์ให้ดูง่ายๆเล่า...ให้อาจารย์พวกนั้นจ่ายตังค์มาคนละ10แฟลร์สิ เดี๋ยวจะโชว์ให้ดูเป็นบุญตา ฮ่าๆๆๆๆ เอะ แต่ถ้าเป็นอาจารย์สาวๆสวยๆกว่าคุณป้าแมเรี่ยนเดี๋ยวจะเซอร์วิสให้เป็นพิเศษ ฮ่าๆๆๆ” เด็กหนุ่มน้อยผมสีเงิน ตาแหลมดุ ใบหน้าดูเจ้าเล่ห์นิดๆ ยืนเด่นสง่าบนต้นไม้หัวเราะตอบกลับลงมา
“ไม่อยากให้มันได้ไปอาคาเดียจริงๆเลยว่ะ มันคงทำชื่อเสียงที่นี่ป่นปี้หมดแน่…” มีเสียงบางคนบ่นพึมพำ
“เด็กๆ มาทางนี้หน่อย วันนี้มีแขกมาหาจ้ะ” คุณแมเรี่ยนผู้เป็นทั้งเจ้าของสถานสงเคราะห์และทำหน้าที่อาจารย์ของที่นี่เดินออกมาจากตัวอาคารมาเรียกเด็กๆที่สนามเด็กเล่น
“ครับ/ค่ะ คุณแมเรี่ยน”
“เธอด้วยเซรอน ลงมาๆ” คุณแมเรี่ยนเหล่มองบนไปที่เด็กน้อยบนต้นไม้
“ชิ เห็นด้วยเหรอป้า กะจะแอบๆซักหน่อย” เด็กน้อยตอบกลับ แล้วก็กระโดดตีลังกาลงมาแลนดิ้งอย่างสวยงาม
“สวัสดีทุกๆคน” ชายสูงวัยผมสีดอกเลาในชุดยูนิฟอร์มสีขาวที่มีชายเสื้อยาวแทบถึงพื้นเดินออกมาจากตัวอาคาร บนอกข้างซ้ายมีตราสถาบันอาคาเดียประดับอยู่ ใบหน้าของเขายิ้มแย้มดูเป็นมิตรกับผู้พบเห็นทุกคน จากนั้นเหล่าอาจารย์จากอาคาเดียคนอื่นๆก็ทยอยเดินตามกันออกมาร่วม20คน
“สวัสดีครับ/ค่ะ” เด็กๆโค้งทำความเคารพ ยกเว้นเซรอน คุณแมเรี่ยนเลยแอบเดินไปหยิกแขนเซรอนจนสะดุ้งเฮือก
“เซรอนทำตัวดีๆหน่อย” คุณแมเรี่ยนก้มลงกระซิบข้างหูเซรอนเบาๆ
“ป้าเคยบอกว่าห้ามทักทายคนแปลกหน้าไม่ใช่เหรอ”
“ถ้าเธอทำตัวดีๆ อาจารย์เค้าอาจจะเลือกเธอเข้าอาคาเดีย แล้วเธอรู้มั้ยที่นั่นมีอะไร...สาวๆสวยๆไงล่ะ ในชุดเครื่องแบบจอมเวทย์กระโปรงพริ้วๆ พอใช้เวทย์มนต์ทีกระโปรงก็จะ...”
“สวัสดีครับท่านอาจารย์ที่เคารพทุกท่าน ผมเซรอนครับ ฝากเนื้อฝากตัวด้วยครับ!!” เซรอนตะโกนสวัสดีดังลั่นพร้อมทำมือตะเบ๊ะ คงคิดว่าจะสร้างจุดเด่นให้อาจารย์ประทับใจเต็มที่ จนมีเสียงอาจารย์หลายๆคนแอบหัวเราะเบาๆ
“ผมชื่อเลอฌวน ครูจากสถาบันเวทย์มนต์อาคาเดีย ยินดีที่ได้รู้จักทุกคนนะครับ” อาจารย์สูงวัยผมสีดอกเลาทำการแนะนำตัวเป็นคนแรก จากนั้นอาจารย์ท่านอื่นๆก็ไล่เรียงแนะนำตัวทีละคนจนเกือบหมดยกเว้นกลุ่มคนที่แต่งกายแตกต่างจากอาจารย์จากอาคาเดียที่ยืนอยู่บริเวณไกลออกไปราวๆ 3คน ซึ่งถ้าสังเกตอย่างละเอียดไม่ใช่แค่การแต่งกายเท่านั้นที่ต่างออกไป สีหน้าและท่าทางก็ดูเคร่งขรึมต่างจากตัวแทนอาจารย์จากสถาบันอาคาเดีย
“แล้วทั้ง3ท่านตรงนั้นล่ะคะอาจารย์เลอฌวน”คุณแมเรี่ยนเอ่ยถามตัวแทนอาจารย์ด้วยความสงสัย
“ท่านทั้ง3ทางนั้นเป็นคณะผู้ติดตามจากสถาบันอื่นๆ ครับ มาสังเกตการณ์เผื่อว่าจะเจอผู้มีความโดดเด่นเฉพาะด้าน เฮ้ จอร์จ พวกนายก็มาทางนี้ด้วยสิ”เลอฌวนเรียกเพื่อนผู้สังเกตการณ์นอกอาคาเดียให้มาทำความรู้จัก
“ไม่ต้องหรอกครับ พวกเรามาเพื่อสังเกตการณ์เฉยๆ หากไม่มีเด็กคนไหนที่ดูโดดเด่นเฉพาะด้านตามที่เราต้องการจริง เราก็ไม่จำเป็นต้องลงไปทำความรู้จักด้วยอยู่แล้ว” อาจารย์ในชุดผ้าคลุมดำที่ไม่มีตราอาคาเดียตอบปฏิเสธอย่างไม่ค่อยเป็นมิตรซักเท่าไหร่นัก ส่วนอาจารย์อีก2คนก็พยักหน้าเห็นด้วยตาม
“…ก็ตามนั้นละกัน งั้นเดี๋ยวเรามาเริ่มกันเลยดีกว่านะครับคุณแมเรี่ยน” เลอฌวนหันกลับไปยังกลุ่มเด็กอีกครั้ง เขาเดินออกมากลางสนามเพื่อกล่าวอะไรบางอย่าง
“หลายๆคนคงพอรู้แล้วสินะที่พวกครูมาวันนี้เพราะอะไร…ครูอยากให้เด็กทุกคนที่มีความสามารถด้านเวทย์มนต์ได้มีโอกาสในการพัฒนาความสามารถนั้นให้เพิ่มพูนขึ้นไปยิ่งขึ้น ค่าใช้จ่ายทั้งหมดครูทุกคนจะเป็นคนสนับสนุนเอง” อาจารย์เลอฌวนกล่าวแล้วมองไปที่เหล่าเด็กๆที่ตาเป็นประกาย ก่อนเว้นจังหวะหายใจพักหนึ่ง “แต่…อาจจะไม่ใช่ทุกคนที่ได้โอกาสเหล่านั้น จริงอยู่ว่าเลมูเรียแห่งนี้คือดินแดนของเหล่าจอมเวทย์ แต่ก็มีคนจำนวนไม่น้อยที่ไม่สามารถใช้เวทย์มนต์ได้ ไม่ใช่ทุกคนที่มีพรสวรรค์ด้านนี้… แต่ที่สุดแล้ว เส้นทางเดินของเราไม่ได้จบแค่การใช้เวทย์มนต์ได้หรือไม่ได้ ครูเชื่อว่าทุกคนต่างก็เป็นอนาคตของเลมูเรีย หวังว่าทุกคนจะไม่หมดหวังท้อแท้เพียงแค่การคัดเลือกในวันนี้” เมื่อจบการกล่าวเปิดงานอย่างง่ายๆ บรรดาอาจารย์ต่างก็ปรบมือพอเป็นพิธี เหล่าเด็กๆเองก็ถูกบรรยากาศดึงให้ปรบมือตามไปด้วย
“เอาล่ะ เราจะได้เพชรเม็ดงามซักเท่าไหร่จากที่นี่กันนะ…” เลอฌวนหันไปเอ่ยกับแมเรี่ยนด้วยใบหน้ายิ้มแย้ม

7 ปีต่อมา --- เกาะโพเท็นไคม์ นครซาร์ฟแรกซ์ ---
นครซาร์ฟแรกซ์ 1ใน2เมืองหลวงแห่งทวีปเลมูเรีย แม้จะได้ขึ้นชื่อว่าเป็นเมืองหลวงก็ตามแต่สิ่งก่อสร้างต่างๆก็ไม่ได้ดูทันสมัยมากนัก ถ้าชายตามองดูจะเห็นว่าตัวเมืองมีส่วนผสมของสถาปัตยกรรมโบราณตามสถานที่สำคัญต่างๆ เช่น หอสมุดประจำเมือง อาคารสภาเมือง กำแพงเมือง ผสมผสานกับสิ่งก่อสร้างในยุคปัจจุบันเช่นพวกตึกรามบ้านช่อง ตลาด รวมถึงสถานีขนส่งขนาดใหญ่ทางฝั่งตะวันออกของเมือง ซึ่งมีทั้งพอร์ทเซไฟร์ท่าอากาศยานขนาดใหญ่ ประตูมิติที่ทำหน้าที่เชื่อมการเดินทางระหว่างเกาะ และกระเช้าขนาดยักษ์ที่ใช้เดินทางไปยังเกาะเดโมเนียและเกาะสคอร์เซีย ทำให้ความหนาแน่นของประชากรและความเจริญต่างเทมาทางฝั่งตะวันออกของเมือง อันเนื่องมาจากการค้าขายระหว่างเกาะ
“ประตูที่เชื่อมกับโลกต่างมิติเปิดที่เบลดิเนียมเหรอวะคราวนี้” เสียงอุทานดังขึ้นหลังจากเห็นพาดหัวหน้าหนังสือพิมพ์
“ไม่มีใครตายนะ เห็นว่าเกิดแถบชานเมืองพอดี แต่ในข่าวเขียนว่าปิศาจจากเดอะวอยด์พังตึกไป3คูหา ดีนะที่กองกำลังของโบทาเนีย เข้ามาปราบมันได้ก่อน” ชายคนขายหนังสือพิมพ์สนทนาตอบกลับชายคนแรก
“ครั้งกระนู้นก็เกิดทางตอนใต้ของเมืองเราเลยนี่หว่า ถ้าคราวหน้าประตูมิติมาเปิดตรงนี้นี่ทำไงดีวะ”
“แกนี่ปากหมา อยากให้ร้านขายหนังสือข้าพังขนาดนั้นเลยเรอะ อย่ามัวแต่ยืนอ่าน จ่ายตังค์มาๆ”
ประเด็นที่ต่างเป็นที่โจษจันเป็นวงกว้างของชาวเลมูเรียตอนนี้คือการที่ประตูที่เชื่อมต่อกับเดอะวอยด์ถูกเปิดออกตามเมืองต่างๆถึง4ครั้งในช่วง7เดือนที่ผ่านมา ทำให้ปิศาจจากทางฝั่งเดอะวอยด์ออกมาอาละวาด ทั้งเมืองหลวงอีกแห่งอย่างนครเบลดิเนียม พลาซ่าบนเกาะอาคาเดีย หรือแม้กระทั่งชุมชนที่อยู่ทางตอนใต้ของนครซาร์ฟแรกซ์ก็เช่นกัน แม้ทุกครั้งเหล่าจอมเวทย์หรือกองกำลังประจำเมืองจะเข้ามาระงับเหตุการณ์ได้ทันเวลา แต่ก็เกิดการวิพากษ์วิจารณ์กันว่าเป็นฝีมือของใครกันที่กระทำการแบบนี้
‘เดอะวอยด์’ ถ้าอธิบายตามความเข้าใจของคนทั่วๆไปเป็นชื่อเรียกโลกต่างมิติซึ่งเป็นที่อยู่ของเหล่าปิศาจ ซึ่งผู้ที่ใช้เวทย์มนต์เชื่อมต่อกับมิติเดอะวอยด์ ได้ส่วนใหญ่จะเป็นผู้ที่ศึกษากับสำนักเวทย์มนต์เดโมเนีย ทำให้สถานการณ์ตอนนี้จอมเวทย์ที่เกี่ยวกับเกาะเดโมเนียหรือผู้ที่ใช่เวทย์มนต์เชื่อมต่อกับมิติเดอะวอยด์ได้ต่างถูกเพ่งเล็ง แต่ก็ยังมีบางทฤษฎีก็มีการตั้งคำถามว่า หรือมิติเดอะวอยด์อยู่ในสภาวะไม่เสถียร ประตูเชื่อมมิติเลยสามารถเปิดได้เอง ด้วยการที่เขตชุมชนมีการไหลเวียนของพลังงานแอสทรัลในตัวมนุษย์อยู่ในปริมาณมากโข เลยอาจเกิดปฏิกิริยาอะไรบางอย่างเชื่อมต่อกับมิติเดอะวอยด์
ไม่ว่ายังไงก็ตามแต่ ในวันนี้จึงมีการจัดประชุมนนัดพิเศษในการหาสาเหตุของการที่มีประตูมิติเชื่อมกับเดอะวอยด์ถูกเปิดในเขตชุมชนติดต่อกัน ซึ่งผู้เข้าประชุมส่วนใหญ่มาจากเขตชุมชนหรือเกาะที่เกิดเหตุการณ์ประหลาดขึ้น
ณ ห้องประชุมกลางเมือง การประชุมเป็นไปอย่างดุเดือด โดยตัวแทนทางฝั่งเดโมเนีย ได้แก่ วาชทอร์ ผู้เป็นเจ้าสำนักเวทย์มนต์เดโมเนีย , จอร์จ แกมเมล แอนเกล อาจารย์ระดับสูง เซรอนและดีน อดีตเด็กน้อยจากสถานรับเลี้ยงเด็กกำพร้าที่ปัจจุบันโตมาเป็นศิษย์ชั้นเอกทำหน้าที่จดบันทึกการประชุมฝั่งเดโมเนีย ถูกโจมตีอย่างหนักที่เพิกเฉยต่อเหตุการณ์ครั้งนี้แม้จะผ่านจากเหตุการณ์ครั้งแรกมาถึง7เดือนแล้ว ทางฝั่งวาชทอร์และจอร์จต่างเป็นคนประเภททองไม่รู้ร้อนอยู่แล้ว เซรอนก็ทำตัวหูทวนลมกับเสียงก่นด่า บางทีก็มีแอบงีบไปบ้างเหมือนกันเพราะการประชุมกินเวลายาวนานหลายชั่วโมง ในขณะที่ดีนก็ทำการจดบันทึกการประชุมอย่างเงียบๆคนเดียวไม่หืออืออะไรทังสิ้น ตัวแทนจากเดโมเนียทั้ง4คนจึงเสมือนแค่มานั่งรองรับอารมณ์ของผู้ร่วมประชุมโดยแทบไม่ได้โต้ตอบอะไรกลับไปเลย
ดัลลาส รัฐมนตรีกระทรวงกลาโหมแห่งนครซาฟท์แรกซ์ ผู้ทำหน้าที่ประธานการประชุม เขาเป็นชายหนุ่มวัย30ต้นๆแต่ได้เลื่อนตำแหน่งขึ้นมาระดับสูงอย่างรวดเร็วเนื่องมาจากผลงานการปราบกลุ่มอาชญากรรมบริเวณรอบนคร ได้กล่าวให้ผู้ร่วมประชุมทั้งหลายใจเย็นลง แล้วสรุปข้อเสนอจากทางฝั่งตัวแทนผู้เสียหาย “ทางฝั่งตัวแทนจากโบทาเนียอยากให้มีการจำกัดการเข้าออกผู้ที่มาจากสำนักเดโมเนียไปยังเกาะต่างๆจนกว่าจะหาสาเหตุได้ครับ” เนื่องจากบนเกาะโบทาเนียมีประชาชนอาศัยอยู่เป็นจำนวนมากอยู่แล้ว และยังเป็นที่ตั้งของนครเบลดิเนียม หากเกิดอะไรร้ายแรงขึ้นมามีโอกาสที่จะสูญเสียมากกว่าที่อื่น จึงยื่นข้อเสนอที่ดูแข็งกร้าวไว้ก่อน
“เรื่องการจำกัดสิทธิ์ในการเดินทาง ไม่ว่าจะพูดอีกกี่ครั้งผมก็ขอปฏิเสธ ปฏิญญาว่าด้วยหลักสิทธิมนุษยชนกล่าวว่ามนุษย์ทุกคนสามารถเดินทางได้อย่างอิสระ หากไม่สามารถพิสูจน์ได้ว่าเป็นฝีมือใคร ก็ไม่ควรจะริดรอนสิทธิ์การเดินทางของบุคคลจากสำนักเดโมเนียทั้งหมด”วาชทอร์กล่าวตอบ
เลอฌวนซึ่งวันนี้เข้าประชุมในฐานะตัวแทนจากฝั่งอาคาเดีย ปัจจุบันเขาได้เลื่อนขั้นเป็นรองศาสตราจารย์แห่งสถาบันอาคาเดียไปแล้ว ใบหน้าของเขายังดูเป็นมิตรเช่นเดิม ได้เสนอความเห็นด้วยน้ำเสียงนุ่มนวลเพื่อลดความตึงเครียดในการประชุม “จากที่ทางเราคุยๆกันไว้ จริงๆการจำกัดสิทธิ์การเดินทางเป็นอะไรที่ทางเราคิดไว้เหมือนกัน แต่หากทางนั้นยืนยันที่จะปฏิเสธครั้งนี้ผมอยากให้มีการคาดโทษครั้งสุดท้ายไว้ก่อน หากเกิดเหตุการณ์ขึ้นครั้งหน้าผู้เสียหายจากทุกเกาะสามารถเรียกเก็บค่าเสียหายย้อนหลังจาก4เหตุการณ์ก่อนหน้านี้ได้ทั้งค่าซ่อมแซมอาคารและค่ารักษาพยาบาลผู้บาดเจ็บจากเหตุการณ์ และอาจให้มีการจำกัดการเข้าออกคนจากเกาะเดโมเนียในการเดินทางไปยังเกาะอื่น ที่ผมต้องเสนอวิธีนี้ เพราะทางฝั่งเดโมเนียไม่ได้กระตือรือร้นในการหาสาเหตุหรือคนร้ายเลยในช่วง7เดือนที่ผ่านมา ทั้งๆที่การจะเปิดประตูมิติที่เชื่อมต่อกับเดอะวอยด์ขนาดใหญ่จนมีปิศาจขนาดกลางจนถึงขนาดยักษ์ออกมาได้จะต้องเป็นนักเรียนชั้นสูงขึ้นไปของสำนักเดโมเนียเท่านั้นที่ทำได้ คนทั่วๆไปหรือผู้ที่ศึกษาสถาบันอื่นไม่สามารถทำได้อยู่แล้ว ข้อเสนอนี้จะเป็นการเร่งทางฝั่งเดโมเนียไปในตัว ขอบคุณครับ”
ฝั่งตัวแทนจากเดโมเนียจำใจต้องยอมรับข้อเสนอเพื่อให้ผู้เข้าประชุมสงบลง ดัลลาสจึงกล่าวปิดการประชุมและจะมาหาวิธีจำกัดการเข้าออกคนจากสำนักเดโมเนียและเกาะเดโมเนียอีกทีในภายภาคหน้าหากเกิดเหตุการณ์ขึ้นอีก
หลังการประชุม ดีนออกมายืนถอนหายใจข้างนอกพร้อมทั้งบิดตัวไปมาเนื่องจากความเมื่อยล้า การประชุมที่ลากยาวถึง5ชั่วโมงมันช่างกินพลังงานชีวิตมหาศาล ในขณะเซรอนทิ้งตัวลงนอนหลับปุ๋ยอยู่บนม้านั่งข้างๆไปแล้ว จอร์จเองก็ไม่ต่างกัน หลังจากตอบคำถามจากตัวแทนหนังสือพิมพ์โครนิเคิลเสร็จก็เดินหลบมาบริเวณที่ดีนกำลังบิดขี้เกียจอยู่พอดี
“แล้วอาจารย์วาชทอร์ล่ะครับ” ดีนเป็นฝ่ายเริ่มเอ่ยถาม
“รีบกลับเกาะตั้งแต่จบการประชุมล่ะ ปล่อยให้ฉันตอบคำถามนักข่าวคนเดียวอีก…”
“โดนมัดมือชกชัดๆครับไอ้การประชุมวันนี้ หลักฐานอะไรแม้แต่นิดเดียวว่าคนของเราเป็นคนก่อเหตุก็ไม่มี”
“หน้าฉากทำเหมือนการประชุมระหว่างเกาะ แต่หลังฉากถูกจัดมาให้เราเตรียมจ่ายเงินชัดๆน่ะสิ”จอร์จสบถ
“ถ้าเราค้านเรื่องข้อเสนอจากฝั่งอาจารย์เลอฌวนล่ะครับ”
“อย่างแย่คงอาจจะถูกปิดไม่ให้ใช้กระเช้าข้ามเกาะ การเดินทางผ่านประตูมิติอาจจะยังทำได้แบบจำกัดหน่อยมั้ง แต่การค้าขายระหว่างเกาะคงชะงัก โดยเฉพาะกับโบทาเนียที่ท่าทางจะเขม่นเราหนักน่าดู พวกของบริโภคเราทั้งหลายทางนั้นอาจจะหยุดขายให้เราดื้อๆเลยก็ได้ และที่แน่ๆไอ้การประชุมน่าเบื่อนี่คงยืดเยื้อไปอีก นี่ดีแล้วที่หลุดออกมาจากตรงนั้นได้ แต่ถ้าเซอฆิโอ้รู้เนื้อหาการประชุมวันนี้ มันคงร้องลั่นแน่” จอร์จเอ่ยชื่อถึงเซอฆิโอ้ซึ่งทำหน้าที่สมุห์บัญชีประจำเกาะเดโมเนีย
“งั้นผมกับเซรอนขอตัวก่อนนะครับ พอดีมีธุระในเมือง เจอกันอีกที5โมงเย็นนะครับ”
“อย่าลืมสรุปรายงานการประชุมให้คณะกรรมการภายในพรุ่งนี้ก่อนเที่ยงด้วยล่ะ เดี๋ยวฉันกลับไปพักซักหน่อย เจอกันที่หอกระเช้าข้ามฟากเลยนะ” จอร์จพูดจบก็เดินกลับไปที่โรงแรม โดยช่วงเย็นวันนี้ทั้ง3คนจะนั่งกระเช้าข้ามฟากกลับไปที่เกาะเดโมเนีย
“เฮ้ย ตื่น”ดีนเอาเท้าเขี่ยใส่เซรอนที่นอนอยู่ตรงม้านั่ง
“ขออีกแป๊ปเหอะ ไอ้การประชุมนี่มันทรมานยิ่งกว่าถูกสั่งให้สูดอากาศอยู่ในเดอะวอยด์วันนึงเต็มๆอีก” เพื่อนจอมขี้เกียจลุกขึ้นมาขยี้ตาแล้วก็หงายนอนต่อ

“ไอ้งานบันทึกการประชุมมันต้องงานแกชัดๆ แกมันศิษย์หมายเลข1ของสถาบันนะเว้ย”
“ไม่ได้อยากเป็นซักหน่อย ไอ้ตำแหน่งที่ไม่ได้มีเงินเดือนให้แบบนี้ แถมต้องมาทำงานนอกเวลาเรียนอีก”
“เดี๋ยวฉันจะแวะไปหาคุณแมเรี่ยนซักหน่อย นายก็มาด้วยสิ”
“ไปหาป้าเหรอ ไม่อาวววววว ฉันอยากไปเหล่สาวๆในตลาดแล้วจิบอะไรเย็นๆซะมากกว่า สาวๆที่นี่แจ่มกว่าที่เดโมเนียเยอะ เอ้อ แต่แกต้องไปด้วยนะ หน้าแกมันดึงดูดสาวได้ดีกว่าฉัน”
“…” ดีนได้แต่นิ่งเงียบใบหน้าเอือมระอากับคู่หูที่คบกันตั้งแต่สถานสงเคราะห์ยันเข้าเรียนที่สำนักเวทย์มนต์เดโมเนีย
“ถ้าเงียบฉันนอนต่อล่ะนะ”
“เออ เอาก็เอาว่ะ แต่ต้องไปเยี่ยมคุณแมเรี่ยนก่อนนะ”
“ดีลสำเร็จ ฮะฮะ” เซรอนยกนิ้วโป้งชูขึ้นมาราวกับผู้ชนะ
สถานสงเคราะห์ของคุณแมเรี่ยนอยู่นอกเมืองซาร์ฟแรกซ์ไม่ไกลนักไปทางตะวันตกเฉียงใต้ ถ้าเดินทางโดยการจ้างรถม้าจากหอประชุม ใช้เวลาเดินทางราวๆ10กว่านาทีก็ถึง เซรอนและดีนจึงเดินทางด้วยวิธีนี้ แต่เมื่อลงรถม้ามา ภาพที่ทั้งคู่เห็นมีเพียงแค่สถานสงเคราะห์และสนามเด็กเล่นที่ถูกทิ้งไว้ให้ร้างมาหลายปี กำแพงไม้ผุพัง หลังคากระเบื้องแตกรั่วจนแสงแดดลอดเข้าไปในตัวอาคารหลายๆจุด ต้นไม้ใหญ่ข้างอาคารชอนไชรากและเถาวัลย์ลงไปในตัวอาคาร ไม่ว่ามองยังไงสถานที่แห่งนี้ก็ราวกับบ้านผีสิงชัดๆ
“แกพาฉันมาลองของที่บ้านร้างเหรอวะ…”
“ก็บ้านที่แกกับฉันเคยอยู่มาเป็น10ปีไง…”
ทั้งคู่เดินเข้าไปสำรวจในอาคารจนเจอรูปถ่ายเก่าๆอยู่บนพื้น เมื่อหยิบขึ้นมาพบว่าเป็นรูปถ่ายรวมของคุณแมเรี่ยนและเหล่าเด็กๆซึ่งมีเซรอนและดีนอยู่ในรูปด้วย ทั้งคู่จึงมั่นใจว่าไม่ได้มาผิดที่ ระหว่างที่ดีนยังสำรวจในตัวอาคาร เซรอนก็เปิดประตูออกมาทางสนามเด็กเล่นด้านหลัง ซึ่งมีซากเครื่องเล่นเก่าๆกองผุพังอยู่บนพื้น ต้นไม้ที่เขาเคยปีนป่ายซุกซนในวัยเยาว์ตอนนี้กลายสภาพราวกับมีวิญญาณสิงสู่อยู่ในนั้น เถาวัลย์แห้งๆสากๆห้อยย้อยลงมา บ้างก็เลื้อยชอนไชเข้าไปใต้กำแพงอาคาร เมื่อมองไปสุดสนามข้างหลังเป็นป่ารกทึบทั้งหมด แต่แล้วเมื่อเซรอนชำเลืองก็เหลือบเห็นเงาตะคุ่มขยับอยู่ที่ปลายสายตาของเขา
“ออกมาแล้วเว้ยยยยยย”
“ตะโกนไรวะแก” ดีนเปิดประตูตามหลังมาเมื่อได้ยินเสียงเพื่อนตะโกน
“มึงดูเงาตรงนู้นดิเว้ยยยยยยย” เซรอนทำมือสั่นชี้ไปตรงป่าทึบที่มีเงาบางอย่างขยับอยู่
“เล่นอะไรของแกวะ ฉันไม่ได้กลัวผีเหมือนเมื่อก่อนแล้วนะเว้ย” ดีนตบหลังเซรอนไปป้าบนึงที่คิดจะแกล้งหลอกเขาว่ากำลังเจอผี
“อะไรว้า ไม่มันส์เลย ถ้าเป็นเมื่อก่อนแกวิ่งจู๊ดกลับไปถึงซาร์ฟแรกซ์แล้วมั้งป่านนี้”
“อยู่เดโมเนียเจออะไรแบบนี้จนชินไปแล้วล่ะมั้ง โอะ เงานั่น...สาวสวยเลยแฮะ” เมื่อทั้งคู่เพ่งมองดูดีๆก็พบว่าเงาดำนั่นเป็นผู้หญิงผมสั้นสะพายดาบ ไม่ใช่เงาสัตว์ประหลาดหรือสิ่งลี้ลับอะไรเดินออกมาจากป่าทึบ ในขณะที่ทางฝั่งหญิงสาวเมื่อเดินออกจากป่าแล้วเจอชายแปลกหน้าทำตัวน่าสงสัย2คนจึงเอามือไปจับตรงด้ามดาบเตรียมตัวหากมีการต่อสู้ แต่แล้วเธอก็เป็นฝ่ายเอ่ยปากออกมาก่อน
“เซรอน…ดีน…ใช่รึเปล่า”
“อื้อ…”ทั้งคู่พยักหน้าอย่างงงๆแล้วต่างมองหน้ากันเองราวกับมีเครื่องหมายปรัศนีลอยอยู่บนหัว
“วาน่าไง จำไม่ได้เรอะ สมองถั่วชะมัด” หญิงสาวแขวะกลับ
ถ้าพูดถึงชื่อนี้ ทั้งคู่นึกพอจะนึกได้เลือนรางว่าเป็นสาวน้อยผมสีส้มน้ำตาลมัดแกละ ที่มักจะวิ่งตามเซรอนเป็นประจำ ด้วยการที่เธออายุน้อยกว่าครึ่งปีเลยมองเซรอนเป็นดั่งพี่ชายและตามติดต้อยๆตลอดเวลา ครั้งหนึ่งเธอเคยปีนต้นไม้ตามแล้วพลัดตกลงมาข้อเท้าหัก พี่ชายสุดที่รักไม่รอช้ารีบเผ่นเข้าไปในป่าหนีความผิดที่เป็นต้นเหตุให้เธอปีนต้นไม้ตามอย่างไว ส่วนดีนและเพื่อนๆที่ไม่ห้ามปรามเธอเลยกลายเป็นสนามอารมณ์ให้คุณแมเรี่ยนสวดยับแทน เมื่อนึกถึงวีรกรรมสมัยเด็กแล้ว เซรอนช่างเป็นพี่ชายที่…เอ่อ…กูไม่อยากมีว่ะ…ดีนแอบคิดในใจ
ตัดกลับมาปัจจุบัน วาน่าโตเป็นสาวเต็มตัว เหน็บดาบเล่มใหญ่ไว้ข้างเอว แต่งกายทะมัดทะแมง บริเวณผ้าคลุมไหล่มีตราสถาบันอาคาเดีย ไม่ได้ไว้ผมแกละอีกต่อไปแล้วแต่เป็นผมสั้นทรงบ๊อบเทมาข้างหน้าแทน เมื่อสังเกตอย่างละเอียดใบหน้าดูเศร้าๆเล็กน้อยทั้งๆที่เป็นการพบเจอมิตรสหายครั้งแรกในรอบ7ปีแท้ๆ
“สวัสดีนะ ไม่ได้เจอกันนานเลย” ดีนเป็นฝ่ายเอ่ยทักก่อน
“ก็ตั้ง7ปีเลยนะ ตั้งแต่อาจารย์เลอฌวนมาคัดนักเรียนตอนนั้น พวกเธอ2คนสบายดีสินะ”
“ก็โอเค ว่าแต่นั่นตราอาคาเดียใช่มะ ฉันล่ะอยากไปเรียนที่นั่นชะมัด รู้มั้ยว่าเรียนที่เดโมเนียนี่อย่างกับเข้าค่ายนรกชัดๆ บางทีก็โดนสั่งให้ใช้เวทย์อัญเชิญสัตว์ปิศาจจนมันมาถล่มอาคารมั่ง บางทีก็โดนยัดเข้าไปในมิติเดอะวอยด์วันนึงเต็มๆ ที่เที่ยวแถวๆสำนักก็แทบไม่มี เป็นสถานที่ที่โคตรแห่งความน่าเบื่อเลย” เซรอนร่ายยาวตอบกลับมา
“…ไม่ได้อยากรู้ซักนิด…” หญิงสาวตัดบทอย่างเร็วก่อนที่คู่สนทนาจะพล่ามต่อ
“ที่มันบ่นน่ะช่างมันเหอะ หลักสูตรนี้ก็มีเจ้านี่กับไม่กี่คนที่ได้เรียนอะไรโหดๆอย่างนี้เพราะเชี่ยวชาญการใช้เวทย์เชื่อมต่อกับเดอะวอยด์สูงมากๆ” ดีนพูดเสริม
“ทั้งๆที่ฉันเป็นนักเรียนท็อปคลาสแท้ๆ แต่ทำไมคนที่มีสาวๆมาติดมีแต่แกวะ”
“แกปากหมาไง”
“ฮะฮะ นายสองคนยังสนิทเหมือนเดิมสินะ”
“แน่นอนเพื่อนเลิฟเลย วันนี้ก็มาจดรายงานการประชุมให้ฉันด้วย” เซรอนกระโดดเข้ามากอดคอดีนก่อนดีนจะยกมือปัดตอบปฏิเสธความเป็นเพื่อนเลิฟของทั้งคู่
“งานประชุมเรื่องคดีวินาศกรรมเดอะวอยด์สินะ ฉันก็ติดตามอาจารย์เลอฌวนมาแต่ไม่ได้เข้าไป เลยกลับมาแวะที่นี่”
“ว่าแต่คุณแมเรี่ยนตอนนี้ไปทำอะไรอยู่ไหนแล้วนะ”
“…ไม่รู้สิ ได้ข่าวว่าสถานรับเลี้ยงเด็กปิดไปหลังจากเราออกไปไม่นาน…” วาน่าตอบด้วยน้ำเสียงเศร้าสร้อย
หลังทักทายกันพอหอมปากหอมคอ ดีนยังคงถามสารทุกข์สุขดิบวาน่า ส่วนเซรอนยังเดินสำรวจสนามเด็กเล่นรอบๆราวกับว่ากำลังรำลึกความหลังสมัยยังเด็กว่าเคยได้ไปสนุกตรงจุดไหนมาบ้าง
“ตอนเด็กๆเธอตามเซรอนต้อยๆเลยนี่นา” ดีนแอบแซวเบาๆ
“ฮ้า อะไรนะ จำไม่เคยได้เลยซักนิดดดดด” วาน่าตอบบ่ายเบี่ยง
“แล้วตอนนี้ล่ะ”
“รู้สึกว่าพอเจออีกครั้ง…ความทรงจำสมัยเด็กมันพังทลายลงมามั้ง ฮะฮะ”
“เฮ้ ทั้ง2คน” เซรอนตะโกนเรียกทั้งคู่ขณะที่แหงนมองต้นไม้ที่ตนเคยปีนป่ายซึ่งตอนนี้เถาวัลย์ยาวลงมาจนแทบจะถึงใบหน้าของเขาแล้ว
“มีอะไรเหรอ”
“นายจำได้มั้ยว่าฉันทำยังไงถึงได้ไปเรียนที่เดโมเนียทันที”
“นั่นสิ ว่ากันตรงๆก็โคตรเลือนรางเลยว่ะ ฉันก็นึกไม่ออก จำได้แค่อาจารย์จอร์จมาด้วยแค่นั้นเอง ทำไมเหรอ”
“ถ้าเป็นไปได้ฉัน…อยากไปเรียนที่อาคาเดียมากกว่านะสิ โธ่”
“ไอ้บ้า…”
“ยังไงดี…ตอนที่หมอนั่นแหงนมองทำท่าครุ่นคิดอะไรบางอย่างแบบเมื่อกี้กำลังจะเท่ห์แล้วเชียว…”วาน่าบ่นเบาๆ
หลังจากนั้นทั้ง3ก็หารถม้ากลับไปที่เมือง วาน่าเสนอว่าไปหาอะไรกินกันก่อนแยกย้ายกัน ดีนเลยแนะนำว่าร้านอาหารใต้โรงแรมที่พวกตนพักรสชาติเยี่ยมอยู่เลยตกลงจะไปที่นั่นกันเลย ระหว่างที่อยู่บนรถม้าทั้ง3ก็คุยเกี่ยวกับวิชาที่เรียนเพิ่มเติม วาน่าหลังจากเรียนพื้นฐานเวทย์มนต์จนจบหลักสูตร ก็เลือกเรียนวิชาเวทย์มนต์ผสมผสานทักษะการต่อสู้ด้วยดาบกับเลอฌวนโดยตรง ถือเป็นนักเรียนระดับท็อปคลาสคนหนึ่งทั้งสายบู๊และสายเวทย์ อนึ่งปกติแล้วนักเรียนส่วนใหญ่มักจะต้องเรียนพื้นฐานเวทย์มนต์ที่สถาบันอาคาเดียเป็นเวลา4ปีเสียก่อน ก่อนจะได้ไปเรียนเวทย์มนต์สายถนัดตามสาขาต่างๆทั้งในอาคาเดียหรือสถาบันอื่นๆ ซึ่งในกลุ่มนักเรียนทุนรุ่นเดียวกันนี้ก็มีอีก3-4คนที่ได้ไปเรียนที่อาคาเดียก่อนเหมือนกับวาน่า มีเพียงเฉพาะเซรอนกับดีนเท่านั้นที่ได้ไปเรียนที่สำนักเดโมเนียตั้งแต่ต้นเลย
ทางฝั่งเซรอนได้รับการสั่งสอนจากเจ้าสำนักเดโมเนียอย่างวาชทอร์โดยตรงหรือบางทีก็เรียนกับรองอธิการบดีจอร์จที่เป็นอาจารย์ชั้นสูงของสำนัก ด้วยเหตุที่เซรอนมีพรสวรรค์ด้านพลังเวทย์สายเชื่อมต่อในระดับสูงมาก ทางคณะอาจารย์เลยจับเซรอนยัดเข้าสู่โปรแกรมสุดหฤหรรษ์เต็มที่ตามที่เซรอนได้บ่นไว้ก่อนหน้านี้ ผิดกับดีนที่พลังเวทย์อยู่ระดับธรรมดา การเชื่อมต่อกับเดอะวอยด์ก็ทำได้เพียงครึ่งๆกลางๆเนื่องจากไม่ได้เรียนพื้นฐานมาก่อน ซึงดีนเองก็ไม่รู้เหตุผลเหมือนกันที่ตนได้เข้าสำนักเดโมเนียโดยตรงในทันที แต่ก็ดูจะเป็นศิษย์ที่จอร์จไว้ใจไม่ใช่น้อยเพราะได้รับงานเอกสารให้ทำบ่อยๆ จนมีเสียงเซรอนแซวมาเบาๆ “เบ๊น่ะสิ” ทั้ง3ยังคงคุยกันอย่างเพลิดเพลิน รู้ตัวอีกทีรถม้าก็มาส่งถึงหน้าโรงแรมแล้ว วาน่าเดินเข้าไปที่ร้านก่อน เซรอนได้จังหวะจึงแอบไปกอดคอดีนแล้วกระซิบคุย
“กระหนุงกระหนิงเชียวนะแกตอนที่อยู่หลังบ้านผีสิงน่ะ”
“อะไรของแกน่ะ” ดีนเอ่ยถามงงๆ
“ก็ ห-ม้-อ-ส-า-ว ไงเล่า ของถนัดแกเลยนะ”
“บ้าเรอะ ฉันเห็นเป็นแค่น้องเท่านั้น แถมท่าทางจะเอนไปทางแกมากกว่านะ ดีใจด้วย”
“หะ ฉันเนี่ยนะ ปกติสาวเข้าหาแกเองตลอด ไม่มีเหลือถึงมือฉันด้วยซ้ำ”
“70% ฉันว่าคราวนี้โอกาสเด็ดสุดในชีวิตแกมาถึงแล้ว จะแนะนำอะไรให้นะ มื้อนี้กินช้าๆอย่ามูมมาม ตอนกินเสร็จทำใจใหญ่ๆเข้าไว้ เรียกบริกรมา แล้วบอกว่ามื้อนี้ผมเลี้ยงเอง แฮปปี้เอนดิ้ง!”
“หลอกให้ฉันเลี้ยงมื้อนี้ชัดๆ…แต่ว่า…แผนก็เวิร์คอยู่นะ ฮะๆ” เซรอนทำท่าเลิ่กลั่กฝืนยิ้มแบบสุดๆแล้วเหล่ไปมองวาน่าที่นั่งรอเปิดเมนูอาหารอยู่ก่อนแล้ว ดูๆไปถ้าไม่คิดว่าเธอเป็นน้องสาวจากสถานเลี้ยงเด็กกำพร้าเหมือนกัน เธอเป็นคนที่สวยไม่เลวด้วยซ้ำ และด้วยเพราะเป็นจอมเวทย์สายบู๊จึงต้องฝึกทักษะด้านกำลังกายควบคู่กันไปอยู่เสมอ รูปร่างของวาน่าเลยออกมาสมส่วนระดับนางแบบตามงานแฟชั่นได้เลย
ร้านอาหารที่ทั้ง3เข้าเป็นร้านอาหารของโรงแรม อาหารจึงเป็นแบบอาหารจานเดียวอย่างง่ายหรือของจำพวกทานเล่นที่ไม่งุนงงชื่ออาหารเวลาเปิดดูเมนู แต่ระหว่างที่ทั้ง3กำลังสั่งอาหาร จู่ๆก็มีเสียงดังสนั่นจากข้างบนหัว พื้นร้านเริ่มสั่นไหว นาฬิกาและของประดับร้านที่แขวนไว้ตกกระจายเกลื่อนพื้น คนในร้านรวมทั้งทั้ง3คนรีบวิ่งออกมานอกร้าน เมื่อมองกลับไปที่โรงแรมเห็นเศษกำแพงจากโรงแรมกระเด็นปลิวว่อนไปทั่วบริเวณจนทำให้เศษฝุ่นฟุ้งกระจาย สิ้นเสียงดังสนั่นครั้งสุดท้าย เหล่าผู้คนที่วิ่งหนีตายออกมาจากร้านอาหารและโรงแรมต่างหันกลับไปมองตัวอาคารถล่มครืนลงมา
“เกิดอะไรขึ้น” วาน่าตะโกนถามเนื่องจากควันฟุ้งจนมองไม่เห็นใคร
“สัตว์ประหลาดขนาดใหญ่…น่าจะนะ…” เซรอนตอบอย่างไม่แน่ใจ
“ทำไมนายคิดว่าเป็นอย่างนั้นล่ะ”
“ประสบการณ์จากชั่วโมงเรียนน่ะ เวลาสัตว์ปิศาจขนาดใหญ่ที่อัญเชิญออกมามันคลั่ง มันจะทำลายสิ่งก่อสร้างไปทั่ว เศษซากตึกที่กระจัดกระจายไม่มีร่องรอยเวทย์มนต์เหลืออยู่ เลยคิดว่าน่าจะเป็นการทำลายทางกายภาพ…ไม่ก็คงเป็นคนยักษ์ที่มีพละกำลังมากๆขนาดถีบตึกจนพังล่ะมั้ง ฮะฮะ” เซรอนอธิบายด้วยใบหน้าซีเรียส จริงอยู่ว่าปกติเขาดูเป็นคนบ้าๆบอๆ แต่ด้านการต่อสู้ก็อีกเรื่องหนึ่ง เขาได้รับการเคี่ยวเข็ญจากวาชทอร์มาอย่างหนัก จึงมีประสบการณ์ด้านนี้สูงเป็นพิเศษ
“ระเบิดล่ะ เป็นไปได้มั้ย”
“ไม่น่า ฉันไม่ได้กลิ่นดินปืนเลย…สงสัยแจ็คพ็อตแตกแล้วล่ะ”
เมื่อควันเริ่มจางลง ก็ปรากฏให้เห็นมังกรขนาดใหญ่ยืนตระหง่าน4ขาบนซากโรงแรมที่พังถล่มลงมา กะด้วยสายตาช่วงลำตัวน่าจะยาวประมาณ20เมตร เฉพาะแค่ลำคอก็กินความยาวไปซัก1ใน3 มีปีกขนาดเล็ก ลมหายใจมีละอองควันสีม่วงลอยออกมา
“มังกรพิษ สายพันธุ์ที่เจอได้เฉพาะในเดอะวอยด์ มีคนอัญเชิญมันออกมา…”
“โทษทีนะเซรอน เวลานายเจออย่างนี้จะหยุดมันยังไง พอดีฉันไม่มีประสบการณ์การต่อสู้กับอะไรแบบนี้” วาน่าเอ่ยขอคำแนะนำ
“มันบินไม่ได้แต่เคลื่อนไหวเร็ว จุดอ่อนอยู่ที่หัว คอ อก แต่จุดที่แนะนำคงเฉพาะหัวกับคอ ถ้ามันหดช่วงคอไปข้างหลังแสดงว่ากำลังจะพ่นพิษออก พิษละลายได้กระทั่งเกราะเหล็ก” ไม่ทันจะพูดจบมังกรพิษหดคอโน้มไปข้างหลังทันทีเตรียมที่จะจู่โจมผู้คนที่ยืนมองอยู่ข้างหน้า “แต่ง่ายสุดคือฉันจะเชื่อมต่อกับเดอะวอยด์ส่งมันไปทั้งอย่างนี้แหละ” เซรอนตะโกนชูมือไปข้างหน้าเตรียมร่ายเวทย์
“อย่านะ ข้างใต้ซากอาจจะมีคนรอดชีวิตอยู่ หากเชื่อมต่อเดอะวอยด์เพิ่อส่งมังกรขนาดยักษ์กลับไป ทุกสิ่งบริเวณใกล้เคียงมีโอกาสจะโดนลูกหลงโดนส่งไปด้วย” ดีนรีบท้วง จนฝั่งเซรอนสบถกลับ
“นายเล็งเวทย์เล็กๆเฉพาะขาก็พอ ที่เหลือฉันจัดการเอง” วาน่าทะยานไปข้างหน้าเพียงพริบตาเดียวก็สาวเท้าถึงใต้ลำคอมังกร เป็นเวลาเดียวกับที่เซรอนร่ายเวทย์เชื่อมต่อเสร็จสิ้นดึงขาหน้ามังกรทั้ง2ข้างให้จมลงสู่เดอะวอยด์ วาน่าซัดดาบเข้าไปกลางอกมังกรมิดด้ามพร้อมอัดเวทย์มนต์สายฟ้าเข้าไปในร่างมังกรดังเปรี้ยง เจ้าสัตว์ยักษ์ร่างกระตุกพร้อมมีกลิ่นไหม้รอยโชยออกมาแต่ปฏิกิริยาร่างกายมันยังดำเนินต่อ มันกระอักพ่นพิษในลำคอออกมาป็นเฮือกสุดท้ายสุดท้าย เซรอนรีบเปิดทางเชื่อมอีกจุดบริเวณหน้าปากมังกรส่งพิษที่มันพ่นสู่เดอะวอยด์

“เห้ย ฉันไม่ได้แนะนำอกซักหน่อย...”
“ถ้าตัดคอมัน พิษในลำคอก็ราดใส่หัวฉันน่ะสิ” ระหว่างที่กำลังต่อล้อต่อเถียง ผู้คนบริเวณรอบๆเริ่มแตกตื่นอีกครั้ง ถึงจะกำราบมังกรลงได้ แต่เวทย์ที่เซรอนใช้คือเวทย์ที่เชื่อมมิติกับเดอะวอยด์ซึ่งกำลังเป็นประเด็นสังคมอยู่ตอนนี้ “พวกนาย2คนไปก่อน เดี๋ยวฉันเคลียร์ตรงนี้ให้ ไว้หาทางติดต่อกันอีกที” วาน่าไล่ทั้ง2ให้ถอยฉากออกไปก่อนที่ชาวบ้านจะแตกตื่นมากกว่านี้
“เฮ้ เดี๋ยวนะเซรอน แล้วอาจารย์จอร์จล่ะ อาจารย์บอกว่ากลับมาพักที่โรงแรมนี่…” ทั้ง2คนที่กำลังเตรียมเผ่นหันกลับไปมองซากปรักหักพังที่ถูกทับอยู่ใต้มังกรอีกครั้ง...

เวลา5โมงเย็น หลังเกิดเหตุราวๆ20นาที กองกำลังเวทย์มนต์ของนครเข้ามาเคลียร์ที่เกิดเหตุ อพยพผู้บาดเจ็บ ช่วยเหลือผู้ที่ติดอยู่ใต้ซากอาคาร รวมทั้งขนย้ายซากมังกรออกจากพื้นที่เพื่อให้ทำงานได้อย่างสะดวก ทุกอย่างเป็นไปอย่างวุ่นวาย ใกล้ๆบริเวณนั้น ผู้สื่อข่าวจากหนังสือพิมพ์กำลังสัมภาษณ์ผู้ที่รอดจากเหตุการณ์มาอย่างหวุดหวิด เขาเล่าให้ตัวแทนหนังสือพิมพ์ฟังว่ามีจอมเวทย์2คนปราบเจ้าสัตว์ยักษ์นั่นอย่างรวดเร็วก่อนที่มันจะอาละวาดมากกว่านี้ 1ในนั้นซึ่งเป็นสาววัยรุ่นยังคงอยู่ให้การกับกองกำลังเวทย์ประจำมหานคร
“จากคำให้การของคนอื่น ทำไมเหลือคุณอยู่คนเดียวครับ เพื่อนคุณที่ปราบเจ้านั่นด้วยหายไปไหนครับ”
“เพื่อนดิฉันเป็นผู้ใช้เวทย์มนต์สายเชื่อมต่อกับเดอะวอยด์ ตอนนั้นคนบริเวณนี้แตกตื่นกันมาก รวมทั้งยังเพิ่งเกิดเรื่องไม่ดีเกี่ยวกับผู้ใช้เวทย์มนต์ประเภทนี้ด้วย ดิฉันเลยให้เขาหลบฉากไปก่อน”
“เอ่อ…งั้นขอโทษนะครับ เขาไม่ใช่…ไม่ใช่คนที่เชื่อมมิติอัญเชิญมังกรมาที่นี่ใช่มั้ย…?”
“ค่ะ ยืนยัน เพราะตอนนั้นพวกเรากำลังสั่งอาหารอยู่ที่ชั้นล่าง ส่วนมังกรน่าจะออกมาจากชั้นบนหรือดาดฟ้าค่ะ”
“ขอบคุณครับ ผมขอชื่ออ้างอิงคุณด้วย รบกวนขอบัตรหรืออะไรก็ได้ที่ยืนยันตัวคุณครับ”วาน่าล้วงบัตรนักศึกษาจากกระเป๋าที่เหน็บกับเข็มขัดยื่นให้เจ้าหน้าที่ดูก่อนจะปลีกตัวเดินออกมา
“วาน่า นี่มันเกิดอะไรขึ้น” อาจารย์สูงวัยของเธอวิ่งหน้าตาตื่นมายังบริเวณที่เกิดเหตุจนมาเจอเธอเข้า
“อาจารย์เลอฌวน…ก็อย่างที่เห็นค่ะ เรื่องที่อาจารย์มาประชุมวันนี้แหละ แต่คราวนี้ท่าทางจะหนักกว่าครั้งก่อนๆ”
เลอฌวนชำเลืองไปยังมังกรที่ตอนนี้ถูกเคลื่อนย้ายซากมากองยังกลางถนน มีตัวแทนสภายืนคุยกันว่าจะทำการลำเลียงเจ้าซากมังกรนี่ไปทิ้งนอกเมืองยังไงดี “เจ้านี่มันตัวใหญ่กว่ารายงานครั้งก่อนๆมากเลยนะ แล้วยอดคนเจ็บรึตายล่ะ…”
“เมื่อกี้มีขุดศพพนักงานโรงแรมจากกองซากด้วยค่ะ…”
“จริงสิ แล้วเกรนิเยร์ล่ะ ไม่อยู่ด้วยเหรอ”
“ขอโทษค่ะ…” วาน่าก้มหน้าพูดจาตะกุกตะกัก “รุ่นพี่เกรนิเยร์กินอาหารอยู่กับฉัน…แต่ออกมาไม่ทัน…ค่ะ”
เลอฌวนเมื่อได้ยินว่าศิษย์ของตนอีกคนหนึ่งตอนนี้อาจเป็นร่างไร้วิญญาณอยู่ใต้ซากตึกก็อึ้งไปชั่วขณะ แล้วเอื้อมมือไปโอบปลอบวาน่า “ไม่เป็นไรนะ เธอปลอดภัยก็ดีแล้ว…ไอ้คนที่ก่อเรื่องนี้…มัน...ต้องชดใช้!!!” ใบหน้าของชายสูงวัยที่มักจะยิ้มแย้มอยู่เสมอ ตอนนี้กลายเป็นใบหน้าที่บิดเบี้ยวด้วยความโกรธเกรี้ยว เสียงขบฟันดังกรอดลั่นเป็นจังหวะอยู่ข้างหูเด็กสาวที่ตีสีหน้านิ่ง
…รุ่นพี่เกรนิเยร์คะ ช่วยนอนอยู่ตรงนั้นซักพักนะคะ จบเรื่องแล้วฉันสัญญาว่าจะฝังรุ่นพี่ให้ดีกว่านี้”
Card Cast

Ceron
