Angel's Order 01
Story : Alogo
Illust : Bytomtypl
ณ พระราชวังแห่งมหานครโซลาเรียส ลึกลงไปใต้ผืนดินกว่าร้อยเมตร ผู้บัญชาการทัพหลวงวิคตอเรียได้จัดการประชุมลับๆ ขึ้น
ปกติแล้วพวกเขาจะประชุมแผนการรบกันในห้องที่เรียกกันแบบง่ายๆ ว่า “ห้องโต๊ะกลม” เหล่าแม่ทัพนายกองระดับสูงจะยืนล้อมแผนที่และถกเถียงแผนยุทธศาสตร์กัน นั่นคือสิ่งที่คนทั่วไปเข้าใจ ทว่าสำหรับทหารแห่งกองทัพหลวงต่างรู้ดีว่านั่นเป็นเพียงฉากหน้าที่ได้ถูกวางแผนมาแล้ว การโต้เถียงนั่นเป็นของจริง และแผนยุทธศาสตร์ก็เกิดขึ้น ณ ตอนนั้น แต่นั่นเป็นเพียงร้อยละสิบส่วนสุดท้ายเท่านั้น อีกเก้าสิบส่วนนั้นเกิดขึ้นในการประชุมนอกรอบและได้นัดหมายกันไว้แล้ว
วิคตอเรียไม่เคยไว้ใจผู้ใด เธอแยกผู้นำสูงสุดในการประชุมแต่ละครั้งเสมอ บอกเฉพาะส่วนที่เธอต้องการให้รู้ ดังนั้นจะไม่มีใครรู้แผนทั้งหมดจนกว่าจะเข้าประชุมครั้งสุดท้าย
ทว่าการประชุมครั้งนี้เป็นความลับยิ่งกว่าครั้งใด ไม่มีผู้ใดล่วงรู้การนัดหมายครั้งนี้นอกจากผู้ถูกเรียก อันที่จริงผู้เข้าร่วมประชุมทั้งหลายก็ไม่รู้ว่ามีฐานลับใต้ดินนี้อยู่ตั้งแต่เมื่อไหร่ แต่เพราะผู้นัดหมายคือผู้บัญชาการทัพหลวงสูงสุด จึงไม่มีใครคิดกังขาเมื่อหญิงสาวบอกให้พวกเขาเดินเข้าท่อระบายน้ำบ้าง หลุมหลบภัยบ้างโพรงกระต่ายบ้าง และมาพบกันที่ห้องประชุมตรงกลาง
วิคตอเรียดำเนินการสร้างที่นี่อย่างระมัดระวังที่สุด ลงทุนล่อปีศาจเข้ามาอาละวาดจนปีกซ้ายพังวายวอด แล้วแบ่งคนงานก่อสร้างส่วนหนึ่งเข้ามาขุดหลุมสร้างที่นี่ขึ้น ยามฝั่งตะวันตกโดนสวดยับไปเลยฐานที่ไม่คุ้มครองให้ดี วิคตอเรียได้แต่นึกขอขมาทหารเหล่านั้นอยู่ในใจ เพราะเธอเป็นคนเอาไข่ปีศาจชนิดโตเร็วไปวางไว้เอง ถ้าไม่ทำเช่นนี้ ไม่มีทางที่จะสามารถสร้างฐานลับนี้ได้โดยไม่มีคนสงสัยแน่นอน
นี่คือการประชุมของว่าที่สายลับ
“สวัสดี ทหาร” หญิงสาวเดินมาหยุดกลางโถงประชุมและเริ่มกล่าวฉะฉาน เสียงเธอสะท้อนไปมาอยู่ในอุโมงค์หิน ผมสีแดงเพลิงสะท้อนกับแสงแดด ปีกสีแดงกางออกเล็กน้อยราวกับจะอวดศักดา “จากวันนี้เป็นต้นไป พวกท่านคือสายลับแห่งราชวงศ์โซลาเรียส”
วิคตอเรียหยุดคิดเล็กน้อย พวกเขาเป็นสายลับกันตั้งแต่วันแรกที่รู้จักกับเธอแล้ว หญิงสาวจึงเสริมเข้าไปอีกประโยค “อย่างเป็นทางการ”
เกิดเสียงหัวเราะขึ้นเบาๆ
ผู้คนที่ยืนเรียงรายตรงหน้าเธอมีราวห้าสิบคน มีตั้งแต่อัศวินในชุดเกราะ ผู้รักษาประตู อาลักษณ์ แม่ครัว พ่อค้า คนรับใช้ ไปจนถึงขอทาน แต่พวกเขาทุกคนมีแววตาเดียวกัน วิคตอเรียรับพวกเขาทุกคนมาด้วยตัวเอง เธอคอยทดสอบและมอบภารกิจให้กับพวกเขาทีละคนมาเป็นเวลากว่าสิบปี จนในที่สุดก็ถึงเวลาที่พวกเขาจะหายไปจากอาณาจักรโดยสมบูรณ์
“เราได้มอบชีวิตใหม่ให้กับพวกคุณทุกคนเมื่อสิบปีก่อน แลกกับการขึ้นตรงต่อเราตลอดเวลาที่ผ่านมานี้ เราขอขอบคุณความภักดีของพวกคุณ สำหรับเรา พวกคุณทุกคนเปรียบเสมือนพี่น้อง และเราก็เชื่อว่าทุกคนก็รู้สึกเช่นกัน”
วิคตอเรียรู้ว่าไม่ใช่ทุกคนจะชอบเธอ อย่างไรก็ดี การที่ไม่มีใครคิดต่อต้านแม้สักครั้งก็เป็นเครื่องพิสูจน์ว่าคงไม่มีใครหักหลังเธอง่ายๆ
“พวกคุณจงปฏิบัติหน้าที่ของตัวเองให้ดี หากคุณเป็นบาทหลวงแห่งออมเนียก็จงเผยแผ่ศาสนาลูมินอส หากคุณเป็นนักรบแห่งแองกริฟฟ์ก็จงปกป้องผู้คนแห่งแองกริฟฟ์ หากคุณเป็นพ่อค้าแห่งเมืองเสียนก็จงค้าขายให้มั่งคั่ง หากคุณเป็นชาวนาแห่งโบทาเนียก็จงเพาะปลูกพืชผลหล่อเลี้ยงเลมิวเรีย จะให้มีใครรู้ภารกิจของพวกคุณไม่ได้” น้ำเสียงของหญิงสาวน่าเกรงขามและแฝงการข่มขู่อยู่กลายๆ “กายของคุณเป็นของเมืองที่คุณอยู่อาศัย จงอุทิศเลือดเนื้อให้กับที่นั่นเสมือนเป็นหน้าที่ในการดำรงชีวิตของคุณ แต่จงอย่าลืมว่าใจของคุณเป็นของโซลาเรียส คุณจะส่งข่าวรายงานความเป็นไปทุกสัปดาห์ คุณจะเป็นไส้ศึกให้กับอวาลอนในยามจำเป็น คุณจะทรยศคนที่ดีกับคุณที่สุดเพื่อโซลาเรียส...นี่ไม่ใช่ภารกิจง่าย คุณจะต้องทำเพื่อเมืองที่ไม่มีผู้ใดรับรู้การมีอยู่ของคุณ แต่คุณจะทำประโยชน์มหาศาลให้กับอาณาจักรในยามคับขัน”
“ทว่าหนึ่งสิ่งที่เราขอให้พวกคุณจำให้ขึ้นใจ ใจของคุณจงเป็นของโซลาเรียสในยามที่อาณาจักรยังมีอยู่ แต่หากดินแดนแห่งนี้หาไม่แล้ว ชีวิตของคุณจะเป็นชีวิตของคุณ หากวันหนึ่งที่ไร้ดินแดนให้ท่านภักดีแล้ว ขอให้คุณดำเนินชีวิตของคุณเองเถิด”
“แต่ตอนนี้ขณะนี้ จงอุทิศชีวิตให้กับอาณาจักรและจงภูมิใจในเรื่องนั้นเถิด ทหาร”
หญิงสาวทุบกำปั้นลงที่เกราะของตนจนเกิดเสียงกังวาน “จงเก็บความภูมิใจนั้นไว้จนวันตายและจากไปเสีย คุณไม่ใช่คนของโซลาเรียสอีกต่อไป”
ทุกคนทุบหน้าอกของตัวเองโดยพร้อมเพรียงกันเป็นการตอบรับ วิคตอเรียมองคนในบังคับบัญชาของตนอย่างพอใจ ไม่มีใครคัดค้าน ดวงตาของทุกคนมีความเด็ดขาดอยู่ในนั้น พวกเขาเตรียมใจพร้อมดีแล้ว
หลังจากมอบที่หมายและกำหนดการเรียบร้อยแล้ว ผู้คนก็ต่างมองหน้าเพื่อจดจำกันเป็นครั้งสุดท้าย ก่อนจะทยอยกันออกไปตามทางต่างๆ ในเวลาที่ต่างกันเพื่อไม่ให้คนสงสัยว่าคนมากมายแห่ออกมาจากไหน เช่นเดียวกับขามา วิคตอเรียรอจนทุกคนออกไปแล้วจึงพ่นลมหายใจออกมา ใช้มือยันกำแพงหินไว้ สายลับทุกคนเป็นพี่น้องที่ภักดีกับเธอเหนือทหารนายใด เธอไม่รู้สึกเหงา เป็นหัวหน้าทหารต้องเตรียมใจพร้อมจะเสียทหารไปได้ทุกเมื่อ แต่ก็ต้องยอมรับว่ารู้สึกแปลกไปจากเดิม พี่น้องเหล่านี้จะไปภักดีกับเมืองอื่น สักวันหนึ่ง...เธอรู้ว่าจะต้องมี “สักวันหนึ่ง” ที่พี่น้องเหล่านั้นจะได้กลับมาในฐานะสายลับแห่งโซลาเรียส และทรยศผู้คนที่เขารัก เมื่อถึงวันนั้น วิคตอเรียก็ไม่แน่ใจนักว่าสายตาของพวกเขาจะเปลี่ยนไปในทางใด
ไม่มีใครรู้โครงการสายลับของเธอ วิคตอเรียตั้งใจให้เป็นแบบนั้น หากหัวหน้ากระทรวงการต่างประเทศรู้เข้าต้องระเบิดแน่ เพราะการส่งสายลับเข้าไปในเมืองและทวีปอื่นๆ เป็นการละเมิดพรมแดนอย่างร้ายแรง อย่างที่เขาชอบพูดบ่อยๆ ว่า
“ความสัมพันธ์ระหว่างทวีปก็ไม่ได้สำคัญรองไปกว่าการทหารเลย ที่ต้องรบราประหัตประหารกันไม่ใช่เพราะขัดแย้งกันหรอกหรือ สิ่งที่ท่านทำคือการแก้ไขที่ปลายเหตุ เมื่อละเลยต้นเหตุไปแล้วจะแก้ไขให้ถูกต้องก็ลำบากนัก ท่านต้องหัดใส่ใจการบ้านการเมืองเสียบ้าง...”
แต่วิคตอเรียไม่สนใจการเมือง เธอมีหน้าที่รักษานคร ส่วนจะเชื่อมสัมพันธ์อะไรก็ปล่อยให้ฝ่ายอื่นจัดการเองแล้วกัน
วิคตอเรียไม่เคยไว้ใจมนุษย์ ในฐานะที่เป็นบุตรบุญธรรมของกษัตริย์ เธอได้เห็นสงครามมากมาย บ้างก็เป็นความขัดแย้งกับทวีปเพื่อนบ้าน บ้างก็เป็นการต่อสู้ระหว่างอาณาจักรในอวาลอนด้วยกันเอง เมื่อเธอได้ขึ้นเป็นผู้บัญชาการทัพหลวงแห่งโซลาเรียสแล้ว วิคตอเรียจึงดำเนินโครงการสายลับนี้ทันที ด้วยการส่งสายลับไปยังทุกหัวระแหง โซลาเรียสจะมีหูมีตาอยู่ในทุกที่ เธอไม่ได้วางแผนซุ่มก่อกบฏ เพียงแค่ต้องการรู้ข่าวสารจากทวีปต่างๆ เพื่อเตรียมรับมือสถานการณ์ให้ทันท่วงที
วิคตอเรียประสานมือและยืดแขนจนสุดเพื่อหวังจะคลายกล้ามเนื้อ แต่แล้วก็ขมวดคิ้วเมื่อรู้สึกถึงใครบางคนด้านหลัง...หญิงสาวค่อยๆ คลายมือไม่ให้มีพิรุธ ก่อนจะหันขวับไปพร้อมชักดาบจี้ใส่คอผู้บุกรุกทันที
“เปิดเผยตัวซะ” วิคตอเรียพูดด้วยเสียงเย็นชา ผู้บุกรุกนั้นยกมือทั้งสองขึ้นและเลิกผ้าคลุมออก หญิงสาวอายุไล่เลี่ยกับเธอจ้องตาเธอเขม็งอย่างไร้ความกลัว ผมของเธอเป็นสีฟ้าอย่างน่าตกใจ
“ขออภัย เจ้าหญิง”
คิ้ววิคตอเรียกระตุกทันที “เราไม่ใช่เจ้าหญิง ถ้าอยากเรียกไปเรียกเจ้าหญิงน้อยกับเจ้าชายน้อยเถอะ”
ริมฝีปากของผู้บุกรุกเหยียดออกเป็นรอยยิ้มหยัน “สำหรับชั้น ท่านเป็นเจ้าหญิง”
วิคตอเรียข่มความไม่พอใจลงไป “เธอเป็นใคร”
“อะไรกัน อะไรกัน ท่านแม่ทัพใหญ่” หญิงสาวหัวเราะอย่างเสแสร้ง “ท่านไม่สังเกตเห็นชั้นเลยหรือ น่าน้อยใจนัก ทั้งๆ ที่ชั้นก็อยู่ที่นี่มาตั้งแต่แรกแท้ๆ”
วิคตอเรียเม้มปาก...เป็นไปไม่ได้ เธอเลือกสายลับทุกคนกับมือ รู้จักทุกคน อยู่ดีๆ จะมีผู้หญิงที่สีผมโดดเด่นขนาดนี้แฝงตัวเข้ามาโดยที่เธอไม่รู้ตัวได้อย่างไร
ยกเว้นแต่…
วิคตอเรียสำรวจคนตรงหน้าอีกครั้ง ผู้บุกรุกอยู่ในชุดกระโปรงสีน้ำตาลอย่างที่ชาวสวนใส่กัน อายุและความสูงเท่านี้…
“ลีร์?”
“เจ้าค่ะ” ฝ่ายตรงข้ามรับคำอย่างสุภาพเกินจำเป็น วิคตอเรียขมวดคิ้วอีกรอบ ลีร์เป็นหนึ่งในสายลับของเธอ เด็กสาวชาวสวนที่ชอบปลีกวิเวก พูดน้อย ไม่ค่อยยุ่งกับคน ก่อนหน้านี้ทั้งผมและตาของเธอเป็นสีน้ำตาล หน้าตาจืดชืดแบบที่ถ้าเห็นหน้ากันครั้งเดียว ไม่ว่าใครก็คงลืมหน้าเธอไปในหนึ่งนาทีหลังจากนั้น แต่ลีร์ในขณะนี้มีผมเป็นสีน้ำเงินเข้ม รอยยิ้มลึกลับบนใบหน้าทำให้เธอดูมีสเน่ห์ขึ้นมาหลายเท่า

ในการจะเชื่อใจให้คนกลุ่มนี้เป็นสายลับ วิคตอเรียต้องซื้อใจพวกเขาให้ได้ เธอจึงต้องรู้จักทุกคนให้มากที่สุด ใกล้ชิดมากที่สุด เรียกได้ว่าแทบจะเข้าไปบงการชีวิตของพวกเขาเลยทีเดียว ลีร์เป็นหนึ่งในคนที่เธอเข้าถึงได้น้อย ลีร์มักไม่สบตาและไม่พูดเกี่ยวกับตัวเอง แต่เธอกลับทำตามคำสั่งของวิคตอเรียโดยไม่มีคำถามใดๆ เสมอ
ทว่านี่ไม่ใช่ลีร์ที่เธอรู้จัก ไม่มีเค้าของเด็กหญิงคนนั้นเลย
สิบปีที่เธอคอยฝึกฝนและทดสอบ...เด็กคนนี้หลอกเธอมาโดยตลอดอย่างนั้นหรือ
วิคตอเรียสำรวจอีกฝ่ายอย่างใจเย็นและพบว่ารอยยิ้มและดวงตาของเธอไม่สัมพันธ์กัน แม้หญิงสาวจะยิ้มอยู่อย่างไม่รู้ร้อนรู้หนาว แต่ดวงตาของเธอกลับฉายอารมณ์อื่น แววตาที่ทำให้วิคตอเรียเห็นภาพซ้อนของเด็กหญิงตัวน้อยที่แกล้งทำเป็นเข้มแข็งเพื่อซ่อนความรู้สึกอื่นเอาไว้...อย่างที่เธอเคยเห็นจากลีร์เมื่อได้รับคำสั่งของเธอในตอนแรกๆ
“เวทอำพรางหรือ” ถึงอย่างนั้นวิคตอเรียก็พูดอย่างเจ็บใจ...ไม่อยากเชื่อเลยว่าเธอจะมองไม่ออกมาก่อน “แม่มด”
วิคตอเรียรู้ว่าไม่มีสิ่งใดจะลึกลับยิ่งไปกว่าใจคน แต่เธอเชื่อมาตลอดว่าทหารเคารพและทุกคนภักดีกับเธอ ความเชื่อนั้นแหลกสลายไม่มีชิ้นดีเมื่อหญิงสาวคนนี้พิสูจน์แล้วว่าเธอไม่ใช่หนึ่งในนั้น
ความขุ่นเคืองปรากฏขึ้นบนใบหน้าที่ประดับด้วยรอยยิ้มหลอกลวง
“อย่ารังเกียจนักเลย เจ้าหญิง อย่าประเมินชั้นเพราะชั้นใช้เวทมนตร์ ชั้นไม่ได้เกิดมาสุขสบายอย่างท่านหรอก จึงต้องใช้วิธีจอมปลอมเช่นนี้” หญิงสาวแสร้งพูดด้วยเสียงอ่อนหวาน “แท้ที่จริงแล้วเราสองคนไม่ได้ต่างกันเลยสักนิดเดียว”
“ตรงไหนกัน” วิคตอเรียถามเสียงแข็ง เธอไม่เคยทะนงตนว่าเป็นเจ้าหญิง อันที่จริงไม่ว่าเจ้าหญิงน้อยหรือเจ้าชายน้อยก็ไม่เคยมีชีวิตสุขสบายหรูหราอย่างที่คนทั่วไปคิด พวกเธอต้องเรียนการเมืองและการบริหารบ้านเมือง จำเศรษฐกิจของทุกแคว้น ฝึกดาบและฝึกวางกลยุทธ์ไปพร้อมๆ กับการเต้นรำและปักผ้า ถึงอย่างนั้นหญิงสาวก็หงุดหงิดที่ถูกเปรียบเทียบว่าเหมือนกับแม่มดชั้นต่ำ
ลีร์ยกมือขึ้นเล็กน้อยราวกับจะขออนุญาตและปลดผ้าคลุมลง วิคตอเรียสูดหายใจเข้าอย่างแรง
“เป็นเช่นนี้ท่านจะให้ชั้นอยู่ในเมืองโดยไม่ใช้เวทมายาปลอมแปลงตนหน่อยหรือ”
ปีก...ปีสีน้ำเงินคู่หนึ่งโผล่ออกมาจากหลังเธอ เหมือนกับที่อยู่บนหลังของวิคตอเรียไม่ผิดเพี้ยน เพียงแต่ของวิคตอเรียเป็นสีแดงเพลิง
“ทำไม” วิคตอเรียโพล่งออกไปทันที
“ทำไม” ลีร์ทวนคำ “ท่านก็รู้ดีว่าทำไม”
วิคตอเรียนิ่งไป เธอมีปีกนี้ตั้งแต่จำความได้ มันขยายขึ้นตามขนาดตัวของเธอ เมื่อบาดเจ็บเลือดก็ออก ไม่ต่างอะไรกับอวัยวะอื่น วิคตอเรียสงสัยตั้งแต่เด็กว่าทำไมเธอถึงได้มีปีกอยู่คนเดียว แต่ไม่ว่าจะถามท่านพ่อ ท่านครู บาทหลวง หรือคนใดในวังก็ล้วนบอกเธอว่าไม่รู้ บางทีอาจเป็นพรจากฟ้าที่ประทานให้เธอเป็นผู้ยิ่งใหญ่ในกองทัพกระมัง
ความสงสัยของวิคตอเรียไม่ได้หายไป แต่เนื่องจากมันไม่ได้ทำให้เธอเดือดร้อน อีกทั้งยังเสริมให้เธอดูน่าเกรงขามดีอย่างที่ใครๆ บอก หญิงสาวจึงออกจะพอใจกับมัน
ทว่าหญิงสาวพิลึกคนนี้ดูเหมือนจะรู้ดีว่ามันมีที่มาอย่างไร
“เราไม่รู้” วิคตอเรียบอกไปตามตรง “ทำไมเธอถึงมีปีกเหมือนกันล่ะ”
ความประหลาดใจคราวนี้เป็นของจริงแน่นอน ลีร์เลิกคิ้วเหมือนไม่อยากเชื่อ “ท่านไม่รู้จริงๆ หรือ”
“ก็ไม่รู้น่ะสิ” วิคตอเรียเริ่มหงุดหงิด “เธอรู้อะไรก็บอกมา”
“ท่านไม่รู้...” ลีร์พึมพำพลางมองหน้าเธอเหมือนกำลังชั่งใจ เธอครุ่นคิดอย่างหนักอยู่นานจนสุดท้ายก็ถอนหายใจพลางยกมือยอมแพ้ “ก็ได้ ชั้นจะบอกท่าน เพราะชั้นเองก็ไม่ชอบการอยู่ในความมืดโดยไม่รู้อะไรเช่นกัน”
“เราสองคนล้วนตายไปแล้ว”

วิคตอเรียนั่งเหม่อลอยอยู่บนเตียง เธอไม่รู้ตัวว่าทางท่าของเธอช่างน่าขันเพียงใด วิคตอเรียผู้ยิ่งใหญ่กำลังนั่งซังกะตายไม่เหลือมาดของความสง่างามแม้แต่นิดเดียว เมื่อบ่ายนี้เธอก็ไม่มีสมาธิกับการประชุมจนรองประธานต้องสั่งยกเลิกประชุมไปก่อน
“อย่าได้เป็นผู้นำในยามที่ตนไม่พร้อมเด็ดขาด” รองประธานพูดเสียงต่ำด้วยหน้าดุๆ ตามปกติของเขา “หากตัดสินใจอะไรผิดพลาดไป คนที่รับผิดชอบก็คือเธอ จำไว้เสีย”
...ตาขี้เก๊กเอ๊ย...วิคตอเรียนึกด่าอยู่ในใจแม้จะรู้ว่าตนผิดเต็มประตู แต่เธอตั้งสมาธิไม่ได้ ในหัวของหญิงสาวมีแต่คำพูดของลีร์ดังซ้ำวันไปวนมา
“เราทั้งคู่ได้ตายไปแล้วครั้งหนึ่ง ปีกเป็นผลพวงมาจากการคืนชีพ...เป็นเครื่องหมายว่าครั้งหนึ่งท่านเคยถูกช่วยชีวิตเอาไว้โดยนางฟ้า สิ่งที่ชั้นรู้ก็มีแค่นี้”
แน่นอนว่าวิคตอเรียย่อมไม่พอใจกับการรู้แค่นี้
ทำไมนางฟ้าถึงต้องช่วยพวกเธอ ทำไมในวังถึงไม่มีใครรู้อะไรเลย ทำไมเธอถึงจำอะไรไม่ได้...แต่ลีร์ตอบทุกคำถามด้วยคำว่า “ไม่รู้” และใช้เวทอำพรางเปลี่ยนสีผมและซ่อนปีกอีกครั้งก่อนจะสวมผ้าคลุมและทำท่าจะจากไป
“อย่ารีบนักเลย” วิคตอเรียพาดดาบกับลำคอของลีร์อย่างไม่ลังเล ทำให้ฝ่ายหลังจำใจต้องหยุดลง “เธอตบตากันมาตลอด...สิบปีเต็มๆ คิดว่าเรายังจะปล่อยให้ไปเป็นสายให้อีกหรือ”
ลีร์ผินหน้ากลับมาเล็กน้อย ใบหน้าด้านข้างของเธอมีความลำบากใจปรากฏขึ้น “สิ่งที่ชั้นปิดบังท่านมีเพียงเรื่องนี้ ความภักดีของชั้นเป็นของจริง ชั้นยินดีเป็นสายลับใต้บัญชาท่านด้วยชีวิต แต่ท่านจะพิพากษาอย่างไรก็แล้วแต่ท่าน”
วิคตอเรียยังคงไม่ขยับ ลีร์ไม่ยิ้มอีกแล้ว กลับไปเป็นลีร์คนเดิมที่มักจะหลบตาเธออยู่เสมอ วิคตอเรียชักสับสน...คนไหนคือลีร์ตัวจริงกันแน่ เธอไว้ใจเด็กคนนี้ได้ไหม
หญิงสาวถอนหายใจและลดดาบลงในที่สุด ลีร์เหลือบตาขึ้นมองเธอเร็วๆ ครั้งหนึ่งแล้วจากไปโดยกำชับทิ้งท้ายไว้เพียงประโยคเดียวว่า “อย่าบอกเรื่องนี้กับใคร” ทิ้งให้ความสงสัยกัดกินวิคตอเรียอย่างช้าๆ
“วันนี้เป็นอะไร” รองหัวหน้าถาม มีความเป็นห่วงอยู่ในน้ำเสียง แต่วิคตอเรียน้ำท่วมปากบอกใครไม่ได้ ก็ได้แต่บอกปัดไปว่าไม่มีอะไร
หญิงสาวไปยังหอสมุดเมืองเก่าแก่ ค้นหาหนังสือทุกเล่มที่ดูน่าจะมีคำตอบ ไปค้นแม้แต่หนังสือพิมพ์เก่าๆ หวังว่าจะมีบันทึกเกี่ยวกับการตายของตนและลีร์
“เธอตายเมื่อไหร่”
“วันที่ 3 เดือนแปด ศักราชลูมินอสที่ 1554 สิบห้าปีที่แล้ว ที่ไร่องุ่นทางตะวันตกของเมืองคาล์มเคลียร์”
เธอไม่รู้วันเกิดของตัวเอง กษัตริย์อูเธอร์จึงให้วันที่ 26 เดือนแปด เมื่อสิบห้าปีที่แล้ว ซึ่งเป็นวันที่เขารับเธอเป็นบุตรบุญธรรมเป็นวันเกิดของเธอ แปลว่าเธอต้องตายและถูกชุบชีวิตในช่วงเวลาแถวนั้น
เดือนแปด สิบห้าปีที่แล้ว...เป็นเรื่องบังเอิญอย่างนั้นหรือ
ไฟไหม้ น้ำท่วม ดินถล่ม โรคระบาด...มีแต่ภัยพิบัติอย่างกับเล่นตลก เธอไล่ดูรายละเอียดเหตุการณ์และรายชื่อผู้เสียชีวิตทุกคนแต่ก็ไม่ได้เงื่อนงำอะไร วิคตอเรียเป็นชื่อที่กษัตริย์ตั้งให้ และชื่อลีร์ก็ไม่ปรากฏในที่ไหนเลย
สิ่งที่น่าแปลกใจมีเพียงในช่วงปีดังกล่าวมีภัยพิบัติมากกว่าปีก่อนๆ อย่างเห็นได้ชัด ภัยธรรมชาติทั้งเบาบ้างรุนแรงบ้างแพร่ระบาดไปทุกหย่อมหญ้าของอวาลอน มีแต่รายงานความเสียหายและผู้เสียชีวิต แทบไม่มีบันทึกของการฆาตกรรม...ซึ่งก็ไม่น่าแปลกใจ แต่ไหนแต่ไรโซลาเรียสและเมืองต่างๆ ในอวาลอนก็นับถือลัทธิลูมินอส น้อยคนนักที่จะฝ่าฝืนคำสอนอันดีงามของศาสนา
“เฮ้อ...เสียเวลาจริง” วิคตอเรียไม่ใช่หนอนหนังสือ เธอปิดหนังสือเล่มสุดท้ายดังปึบและนวดดวงตาที่เมื่อยล้าพลางยิ้มหยันตัวเอง...หากราชสำนักคิดจะปกปิดอะไรสักอย่างละก็ พวกเขาไม่มีทางปล่อยให้มันหลงเหลืออยู่ในหอสมุดหรอก
วิคตอเรียสงสัยว่าลีร์ปิดบังบางอย่างไว้ เธอพูดคำว่าไม่รู้เร็วเกินไป บ่อยเกินไป เร่งรีบเกินไป เห็นได้ชัดว่าเธอรู้มากกว่าที่บอกแต่ไม่อยากพูดออกมา วิคตอเรียไปเค้นถามกับนักบวชโดยตรงก็ไม่ได้ เธอรู้จากประสบการณ์ในวัยเด็กแล้วว่าทุกคนรู้อะไรบางอย่างและไม่อยากบอกเธอ ไปถามเอาตอนนี้ก็มีแต่จะดูมีพิรุธ
แต่ความสงสัยของเธอก็ไม่ได้ลดน้อยลงเลย
หญิงสาวเหลือบมองโคมไฟที่ประดับด้วยทองเหลืองสลักเป็นรูปนางฟ้ากำลังกางปีกโผบิน ที่โซลาเรียส...ไม่สิ ทั่วทั้งอวาลอนต่างเต็มไปด้วยรูปปั้นและรูปสลักของนางฟ้า เหตุใดปีกของนางฟ้าผู้สูงส่งจึงได้มาเป็นส่วนหนึ่งของเธอได้
วิคตอเรียปลดผ้าม่านลงจนหมดและยืนจ้องตัวเองในกระจก หญิงสาวเป็นผู้นำที่ต้องรักษาภาพลักษณ์และระเบียบ เธอจึงติดนิสัยตรวจสอบการแต่งกายและติดกระจกขนาดเท่าตัวคนหนึ่งบานไว้ข้างประตูใช้ส่องดูความเรียบร้อยก่อนออกจากห้อง วิคตอเรียยืนมองเงาสะท้อนของตัวเอง ผมสีแดงยาวระกับชุดเกราะหนักๆ ที่ใส่จนเคยชิน ดวงตาสีฟ้าเด็ดเดี่ยวที่แฝงความหัวรั้นสะท้อนกลับมาจากกระจก หญิงสาวค่อยๆ กางปีกออก ปกติแล้วเธอจะพับปีกเก็บแนบแผ่นหลัง แต่เมื่อกางออกมาจนสุดแล้วปีกนั้นก็ยาวเป็นสองเท่าของแขนเธอ ใหญ่จนบดบังทุกสิ่งที่อยู่ด้านหลังไปหมดสิ้น
“ตัวประหลาด”
“ยายสัตว์หน้าขน”
“ก็มีปีกแล้วจะเรียกตัวเองว่าเป็นคนธรรมดาได้อย่างไร”
เสียงอันน่าชิงชังดังขึ้นในความทรงจำของเธอ วิคตอเรียเป็นเด็กเข้มแข็ง เธอรู้ว่าเด็กพวกนั้นอิจฉาที่เธอทำคะแนนได้ดี พวกเด็กที่อ่อนแอจึงรวมกันเป็นกลุ่มและสร้าง “ความแปลกแยก” ขึ้นมายัดเยียดใส่เธอ วิคตอเรียไม่เก็บเสียงนกเสียงกาเหล่านั้นมาคิด เพราะรู้ว่ายิ่งเธอมีปฏิกิริยา เด็กพวกนั้นจะยิ่งได้ใจ แต่หากจะบอกว่ามันไม่ได้ทำร้ายเธอเลยก็คงเป็นการโกหก
...ชั้นแค่มีปีก...ชั้นแค่มีปีกเท่านั้น...ชั้นไม่ได้ต่างจากทุกคน ชั้นยังเดินดินเหมือนกับพวกคุณทุกคน ทำไมต้องทำกับชั้นเช่นนี้...เด็กหญิงวิคตอเรียกรีดร้องในใจ...ชั้นดีกว่าทุกคนเป็นร้อยเท่า...เป็นพันเท่า ไม่ใช่เพราะมีปีก แต่เป็นเพราะตัวชั้นเอง…
แต่มันเป็นเช่นนั้นจริงหรือ
วิคตอเรียในปัจจุบันมองปีกสีแดงของเธอเงียบๆ ขนนกสีแดงเหลือบทองสะท้อนกับแสงโคมไฟจนเป็นประกาย...นี่คือชีวิตของนางฟ้า...ชีวิตที่เธอได้กลับคืนมาอีกครั้งจากนางฟ้า
ทุกสิ่งที่เธอเคยคิดว่าเป็นของเธอแหลกสลายไป ความสามารถนี้เป็นของเธอจริงหรือเปล่า ร่างกายนี้...ชีวิตนี้มีอยู่จริงแน่หรือ หรือว่าทั้งหมดเป็นของนางฟ้าเจ้าของปีกมาตั้งแต่ต้นแล้ว มีคำข้อสงสัยมากมาย แต่ไม่มีคำถามไหนมีคำตอบเลยสักคำถามเดียว
นอกจากนี้ ที่เธอเคยเชื่อว่าทหารทุกคนภักดีกับเธอก็ไม่จริงไม่ใช่หรือ หนึ่งในสายลับที่เธอใกล้ชิดมากกว่านายทหารใดหลอกลวงเธอมาตลอดสิบปี และเธอก็ถูกต้มเสียเปื่อย
อะไรบางอย่างในตัวเธอระเบิดราวกับภูเขาไฟ
“บ้าเอ๊ย!” เสียงสบถหลุดรอดจากไรฟัน ก่อนที่กำปั้นของหญิงสาวพุ่งเข้าใส่กระจกอย่างควบคุมไม่ได้ เนื้อแก้วส่งเสียงปริร้าว หญิงสาวมองเลือดที่ไหลซึมออกมาจากกำปั้นอย่างขุ่นใจ การทำลายข้าวของไม่ยั้งคิดเช่นนี้ไม่ใช่นิสัยเธอเลย
ขณะที่วิคตอเรียกำลังหายใจเข้าออกพยายามสงบอารมณ์ เธอก็ได้ยินเสียงกุกกักมาจากระเบียง หญิงสาวแสยะยิ้มผิดวิสัย...ไอ้โง่ที่รนหาที่มาเสนอหน้าตอนเธอกำลังอารมณ์เสียช่างน่าสงสารจริงๆ
วิคตอเรียผลักประตูระเบียงและเหวี่ยงดาบออกไปยังเงาด้านนอกสุดแรงอย่างไม่ปรานีทันที ดาบฟาดลงกับระเบียงดังสนั่น เศษปูนชิ้นใหญ่กระเด็นออกมา หากผู้บุกรุกนั้นไม่ไหวดีหลบได้ทันคงตัวขาดครึ่งไปแล้ว วิคตอเรียถอนดาบขึ้นอย่างรวดเร็วและตั้งท่าจะโจมตีอีกครั้ง
“เดี๋ยวก่อน! ชั้นเองค่ะ!” เงามืดร้องเสียงหลง วิคตอเรียชะงักดาบทันทีเพราะจำได้ว่าเป็นเสียงของใคร
“ลีร์” หญิงสาวลดดาบลง ถามด้วยเสียงขุ่นเคือง “มาทำบ้าอะไรอันตรายอย่างนี้”
ลีร์ไม่ตอบคำถาม เธอยืนนิ่งอยู่ที่เดิมและกระชับผ้าคลุมแน่นขึ้น วิคตอเรียเพิ่งสังเกตว่าหญิงสาวเนื้อตัวสั่นเทา ดูต่างจากเมื่อเช้าอย่างกับคนละคน
“มีอะไร” วิคตอเรียลดความแข็งกระด้างในน้ำเสียงของตนลง ลีร์ยังคงไม่ตอบอะไรแต่ค่อยๆ เดินใกล้เข้ามายืนในแสงจันทร์ คืนนี้เป็นคืนเดือนเพ็ญ แม้ไม่ต้องอาศัยแสงไฟก็ยังเห็นได้ชัดเจน ผมของลีร์เป็นสีน้ำตาลอย่างที่วิคตอเรียคุ้นเคย เธอมอมไปด้วยฝุ่นและเต็มไปด้วยแผลถลอกทั่วตัว ลีร์ค่อยๆ ใช้มือที่สั่นเทาปลดผ้าคลุมออก
“ปีก...ปีกของชั้น...” ลีร์ละล่ำละลัก “ปีกของชั้น...”
หญิงสาวไม่จำเป็นต้องพูดให้จบ เพราะวิคตอเรียเห็นแล้วว่าปีกสีน้ำเงินที่เธอเห็นเมื่อเช้าไม่อยู่ตรงนั้นอีกต่อไปแล้ว
